วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2564

ความรับผิดผู้ค้ำประกันและผู้จำนอง

 

อุทาหรณ์
              นางแก้ว กู้เงิน นายธนาคม จำนวน 500,000 บาท เมื่อปี พ.ศ. 2539 โดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี / มีนายเพชร เป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งระบุในสัญญาค้ำประกันว่า “ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 500,000 บาท” // และมีนางมณี นำที่ดินแปลงหนึ่งของตนมาจำนองเป็นประกันหนี้ทั้งหมดของนางแก้ว / โดยมีข้อกำหนดในสัญญาจำนองว่า “ถ้าในการบังคับจำนองตามสัญญานี้ ได้เงินจำนวนสุทธิไม่พอจำนวนเงินที่ค้างชำระขาดจำนวนอยู่เท่าใดผู้จำนองยอมรับผิดใช้เงินส่วนที่ขาดจำนวนนั้นให้แก่ผู้รับจำนองจนครบจำนวน” ด้วย
               ต่อมา นางแก้ว ผิดนัดไม่ชำระหนี้และไม่มีทรัพย์สินใดที่จะนำมาชำระหนี้แก่นายธนาคมได้ นายธนาคม จึงทวงถามให้นายเพชร ในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกันซึ่งยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันกับนางแก้ว ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย / ก่อนการทวงถามซึ่งนายธนาคมขอคิดดอกเบี้ยเพียง 5 ปี รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน875,000 บาท แต่นายเพชร ขอชำระหนี้ให้เพียง 500,000 บาท / นายธนาคมไม่ยอมรับชำระหนี้จากนายเพชร / และบอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินของนางมณี // ให้วินิจฉัยว่า นายเพชรและนางมณี จะต้องรับผิดต่อนายธนาคม หรือไม่เพียงใด

ธงคำตอบ
             การที่นายเพชร ทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดจำกัดวงเงินสำหรับต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 500,000 บาท / แม้นายเพชร ตกลงยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 691 แต่ก็มีความหมายเพียงว่านายเพชรซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดร่วมกับนางแก้ว ในอันที่จะต้องชำระหนี้ตามสัญญาภายในวงเงินที่จำกัดจำนวนไว้ / กล่าวคือ ในต้นเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 500,000 บาท เท่านั้น / มิได้หมายความว่าจะต้องรับผิดในจำนวนหนี้เท่ากับนางแก้ว ผู้เป็นลูกหนี้ชั้นต้นแต่อย่างใด 
             ดังนั้น เมื่อหนี้ถึงกำหนด นายเพชร ขอชำระหนี้แก่นายธนาคมโดยชอบแล้ว ตามมาตรา 701 วรรคหนึ่ง แต่นายธนาคมไม่ยอมรับชำระหนี้จากนายเพชรโดยจะให้นายเพชร ชำระหนี้ในยอดหนี้ที่เกินกว่าความรับผิดของนายเพชรย่อมทำให้นายเพชร ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน หลุดพ้นจากความรับผิดในการชำระหนี้รายนี้ ตามมาตรา 701 วรรคสอง (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 382/2537)
             ส่วนการที่นางมณี ทำสัญญาจำนองเป็นประกันหนี้ทั้งหมดของนางแก้วโดยมีข้อกำหนดในสัญญาจำนองว่า “ถ้าในการบังคับจำนองตามสัญญานี้ได้เงินไม่พอจำนวนเงินที่ค้างชำระ ขาดจำนวนอยู่เท่าใด ผู้จำนองยอมรับผิดใช้เงินที่ขาดจำนวนนั้นให้แก่ผู้รับจำนองจนครบจำนวน” ข้อตกลงนี้ แม้จะแตกต่างกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ก็ไม่เป็นโมฆะ เพราะบทบัญญัติดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นางมณี ผู้จำนองอาจตกลงกับ ผู้รับจำนองเป็นประการอื่นได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 1507/2538 และที่ 168/2518) นางมณี จึงต้องรับผิดเต็มจำนวนหนี้ทั้งหมดของนางแก้ว โดยในการบังคับจำนองขายทอดตลาดที่ดินตามสัญญาจำนอง ถ้าได้เงินไม่พอจำนวนหนี้ทั้งหมดของนางแก้ว ขาดจำนวนอยู่เท่าใด นายธนาคม ย่อมบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่น ของนางมณี ได้จนครบจำนวนหนี้ทั้งหมดของนางแก้วด้วย

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
              ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
              มาตรา 691  ถ้า ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้ ท่านว่า ผู้ค้ำประกันย่อมไม่มีสิทธิ ดั่งกล่าวไว้ใน มาตรา 688, มาตรา 689 และ มาตรา 690 
              มาตรา 688  เมื่อเจ้าหนี้ทวงให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อนก็ได้ เว้นแต่ ลูกหนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนล้มละลายเสียแล้ว หรือไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ไปอยู่แห่งใดในพระราชอาณาเขต
              มาตรา 689  ถึงแม้จะได้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ ดั่งกล่าวมาในมาตราก่อนนั้นแล้วก็ตาม ถ้าผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่า ลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชำระหนี้ได้และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยากไซร้ ท่านว่า เจ้าหนี้จะต้องบังคับการชำระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน
              มาตรา 690  ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ ท่านว่า เจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน
              มาตรา 701  ผู้ค้ำประกันจะขอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่เมื่อถึงกำหนดชำระก็ได้ 
                                   ถ้าเจ้าหนี้ไม่ยอมรับชำระหนี้ผู้ค้ำประกันก็เป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิด
              มาตรา 733  ถ้าเอาทรัพย์จำนองหลุด และราคาทรัพย์สินนั้น มีประมาณต่ำกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ก็ดี หรือถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ ได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่นั้นก็ดีเงินยังขาดจำนวนอยู่เท่าใด ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2564

หมายบังคับคดีอายัดเงินปันผลสหกรณ์

 คำแนะนำและวิธีปฏิบัติ เมื่อสหกรณ์ได้รับหมายบังคับคดีจากเจ้าพนักงานบังคับคดี

๑. ตรวจดูว่าเป็นหมายบังคับคดีเรื่องอะไร เกี่ยวกับอะไร บังคับสหกรณ์หรือสมาชิกอย่างไร 
๒. หากเป็นหมายบังคับคดีเอาแก่สมาชิก สหกรณ์ต้องตรวจดูว่าสมาชิกมีภาระหนี้สินต่อสหกรณ์หรือไม่ เท่าใด 
๓. เชิญสมาชิกให้มาชี้แจงว่าหมายบังคับคดีนั้นมาจากมูลหนี้ใด เป็นเงินจำนวนเท่าใด เพื่อว่าสหกรณ์อาจช่วยเหลือสมาชิกให้ไปถอนการบังคับคดีได้ 
๔. สหกรณ์จะโต้แย้งแทนสมาชิกหรือไม่ โดยคณะกรรมการดำเนินการมีมติไว้เป็นหลักการ หากสหกรณ์ประสงค์จะโต้แย้ง หมายบังคับคดี หรือหนังสือแจ้งอายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ต้องทำความตกลงกับสมาชิกว่า เงินปันผล เงินเฉลี่ยคืน หรือเงินค่าหุ้น ที่สมาชิกมีสิทธิได้รับจะยังคงเก็บไว้ที่สหกรณ์ จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนหมายบังคับคดี หรือหนังสือแจ้งอายัด หรือมีคำสั่งยกคำร้อง และค่าใช้จ่ายในการโต้แย้ง ใครจะเป็นผู้รับภาระ  
๕. ประเด็นที่สหกรณ์โต้แย้ง คือ 
     ๕.๑ การอายัดเงินปันผล และ/หรือเงินเฉลี่ยคืน เป็นการขัดกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะยังไม่เกิดสิทธิ เนื่องจากสมาชิกซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น อาจมีสิทธิหรือไม่มีสิทธิได้รับ เงินปันผล และ/หรือเงินเฉลี่ยคืน จนกว่าจะได้มีการประชุมใหญ่ประจำปีของสหกรณ์ และมีการจัดสรรกำไรสุทธิตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๖๐ เสียก่อน ขณะได้รับหมายบังคับคดีหรือคำสั่งอายัดนี้ ยังไม่มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี และยังไม่มีการจัดสรรกำไรสุทธิ สมาชิกซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาจึงยังไม่มีสิทธิเรียกร้อง ในเงินปันผล และ/หรือเงินเฉลี่ยคืน สหกรณ์จึงไม่อาจรับอายัดตามหมายบังคับคดี หรือหนังสือแจ้งอายัดให้ได้ และเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่สามารถอายัดได้ แต่เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แถลงยืนยันการอายัดไปที่สหกรณ์อีกครั้ง สหกรณ์จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลให้เพิกถอนการอายัด เพื่อให้ศาลไต่สวน 
             ทั้งนี้ เงินปันผล เจ้าพนักงานบังคับคดีมีสิทธิอายัดได้ เพราะถือว่า เป็นสิทธิเรียกร้องของจำเลย ซึ่งสิทธิเรียกร้องดังกล่าวนี้ จะมีขึ้นในปัจจุบันหรือในอนาคตก็ได้ เจ้าหนี้สามารถยื่นคำคัดค้าน และยื่นคำร้อง ขอให้ศาลไต่สวนทรัพย์สินของลูกหนี้ ตาม ปวิพ. มาตรา ๒๗๗ และยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดี ยึดหุ้น สหกรณ์ของลูกหนี้ เหตุที่ สหกรณ์ขอเพิกถอนก็เพราะต้องการยึดหรืออายัด เงินดังกล่าวชำระหนี้ที่ลูกหนี้ค้างชำระต่อสหกรณ์ ถึงแม้ว่าสมาชิกจะมีสิทธิได้รับก็ต่อเมื่อที่ประชุมใหญ่อนุมัติก็ตาม แต่เมื่อใดที่สิทธิเรียกร้องเกิดขึ้นแล้ว สหกรณ์ก็ต้องนำเงินปันผลและเฉลี่ย ส่งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ได้อายัดไว้ หากสหกรณ์ไม่นำส่ง อาจมีโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน (ดูด้านหลังหมายบังคับคดี) แต่ถ้าหากสหกรณ์เห็นว่าสมาชิกผู้นั้นมีหนี้สินกับสหกรณ์ และต้องการใช้สิทธิยึดหน่วง หรือหักกลบหนี้ตามกฎหมาย ต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอใช้สิทธิดังกล่าว หรือหากสมาชิกมีความเดือดร้อนต้องการเงินปันผลและเฉลี่ยคืนไปใช้ในครอบครัว สมาชิกก็ต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้สหกรณ์ส่งเงินปันผลและเฉลี่ยคืนให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีบางส่วนก็ได้ สิ่งที่สำคัญ สมาชิกต้องเตรียม เอกสารหลักฐานต่าง ๆ ยื่นต่อศาลเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่ามีความเดือดร้อนจริงๆ เช่น การเลี้ยงดูบิดามารดาที่ชราภาพ หรือป่วย และการศึกษาเล่าเรียนบุตร เป็นต้น เมื่อศาลรับคำร้องแล้วจะทำการไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งต่อไป 
        ๕.๒ การอายัดเงินค่าหุ้น เมื่อสมาชิกซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษายังไม่สิ้นสุดสมาชิกภาพ สหกรณ์ไม่อาจส่งเงินค่าหุ้นให้ได้ เนื่องจากเป็นการขัดพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๔๒ วรรคสอง ที่บัญญัติว่า "ในระหว่างที่สมาชิกภาพของสมาชิกยังไม่สิ้นสุดลง ห้ามมิให้เจ้าหนี้ของสมาชิกใช้สิทธิเรียกร้องในเงินค่าหุ้นของสมาชิกผู้นั้น" ทั้งนี้ สิทธิเรียกร้องในเงินดังกล่าวไม่อยู่ในข้อยกเว้นความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๖ เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะมีคำสั่งอายัดหุ้นของสมาชิกสหกรณ์ได้ และสหกรณ์ต้องส่งเงินค่าหุ้นให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อสมาชิกผู้น้้ันพ้นจากการเป็นสมาชิก แต่ถ้าสมาชิกยังไม่พ้นจากการเป็นสมาชิก ในระหว่างนี้ ก็ยังมีโอกาสลดค่าหุ้น งดส่งค่าหุ้น หรือกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์นำเงินกู้มาหักกลบลบหนี้กับเงินค่าหุ้นตามกฎหมายสหกรณ์ก่อนที่จะนำเงินค่าหุ้นส่งเจ้าพนักงานบังคับคดี
       ๕.๓ การอายัดเงินค่าหุ้น โดยระบุว่าเมื่อสมาชิกซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาสิ้นสุดสมาชิกภาพแล้ว ให้สหกรณ์ส่งเงินค่าหุ้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ต้องตรวจสอบว่าสมาชิกเป็นหนี้สหกรณ์อยู่ก่อนได้รับ หมายบังคับคดี หรือหนังสือแจ้งอายัด หรือไม่ หากเป็นหนี้สหกรณ์อยู่ก่อน สหกรณ์สามารถโต้แย้งว่าสหกรณ์ประสงค์ใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๗ หรือตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา ๑๐๒ สหกรณ์จึงไม่ต้องส่งเงินค่าหุ้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ 
       ๕.๔ ถ้าหากหมายบังคับคดี มิได้กำหนดเงื่อนไขพิเศษ ให้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดี ยึด อายัด ทรัพย์สินจากบุคคลภายนอกได้ กรณีจึงต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๑๐ ทวิ และมาตรา ๓๑๑ คือ ให้ ยึด อายึด โดยคำสั่งของศาล การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอายัดไปยังสหกรณ์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้จัดส่งเงินดังกล่าว โดยที่ศาลมิได้กำหนดให้มีอำนาจพิเศษเช่นนั้นไว้ในหมายบังคับคดี จึงเป็นคำสั่งอายัดที่ไม่มีผลตามกฎหมาย 
๖. สหกรณ์ส่งหนังสือโต้แย้งหมายบังคับคดี หรือหนังสือแจ้งอายัด ภายในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ โดยอาศัยเหตุผลตาม ข้อ ๕ 
๗. หากเจ้าพนักงานบังคับคดี หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ยังคงแจ้งยืนยันการอายัด สหกรณ์ต้องรีบยื่นคำร้องปฏิเสธหรือโต้แย้งต่อศาลที่ได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้น หรือศาลที่ออกหมายบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๗ (๒) และมาตรา ๓๐๒ ทั้งนี้ สหกรณ์ต้องยื่นคำแถลงต่อศาล ขอนำหมายให้เจ้าพนักงานบังคับคดี หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และเจ้าหนี้ ไปพร้อมกับคำร้องนั้น ค่าใช้จ่ายในการนำหมายตามอัตราที่ศาลกำหนด คำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีหรือหนังสือแจ้งอายัดให้ทำเป็น ๔ ชุด ยื่นต้นฉบับต่อศาล ๑ ชุด พร้อมสำเนา ๒ ชุด สำหรับให้เจ้าพนักงานบังคับคดี และเจ้าหนี้ โดยเก็บสำเนาไว้ที่สหกรณ์อีก ๑ ชุด หากไม่นำหมายก็จะเป็นการทิ้งคำร้อง ศาลจะสั่งจำหน่ายคำร้องออกจากสารบบ 
๘. บัญชีพยาน ประกอบด้วย กรรมการดำเนินการ หรือผู้จัดการ ผู้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการดำเนินการ สมาชิกผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ถูกแจ้งอายัดเงินปันผล เงินเฉลี่ยคืน หรือเงินค่าหุ้น เจ้าหน้าที่สินเชื่อ ข้อบังคับของสหกรณ์ สัญญากู้ยืม หลักฐานที่สมาชิกเป็นหนี้สหกรณ์ หนังสือแจ้งการอายัด และหนังสือโต้แย้งการอายัด กรณีเป็นพยานเอกสารให้ทำสำเนาให้ศาล เจ้าพนักงานบังคับคดี หรือ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และเจ้าหนี้ ยื่นพร้อมคำร้อง 
๙. เมื่อยื่นคำร้องแล้วต้องติดตามคำสั่งศาลกำหนดวันและเวลาไต่สวนคำร้อง 
๑๐. ในวันไต่สวนคำร้องให้นำเอกสารต้นฉบับมาแสดงต่อศาล และนำพยานบุคคลมาสืบ 

สรุป 
การโต้แย้งหมายบังคับคดี หรือหนังสือแจ้งอายัด มีความยุ่งยากและมีค่าใช้จ่าย ดังนั้น สหกรณ์ต่างๆ จึงไม่ค่อยโต้แย้ง อย่างไรก็ตาม กรณีอายัดเงินค่าหุ้น เงินปันผล และเงินเฉลี่ยคืน หากสมาชิกมีหนี้อยู่กับสหกรณ์และไม่มีผู้ค้ำประกัน สหกรณ์สมควรโต้แย้งสิทธิ เพื่อให้ศาลวินิจฉัยจะได้นำเงินค่าหุ้น เงินปันผล และเงินเฉลี่ยคืน มาหักกลบลบหนี้ และเป็นบรรทัดฐานสืบไป แต่กรณีที่สหกรณ์ได้รับหมายบังคับคดี หรือหนังสือแจ้งอายัดแล้วนิ่งเฉยไม่โต้แย้งและไม่ปฏิบัติตาม สหกรณ์ก็จะต้องถูกบังคับคดีเสียเองเสมือนเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๑๒ วรรคสอง ทั้งนี้ คณะกรรมการ หรือผู้จัดการ ไม่ควรฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพราะมีโทษทางอาญา และหากคณะกรรมการ หรือผู้จัดการไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องใช้สิทธิทางศาล 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง