อุทาหรณ์
นางแก้ว กู้เงิน นายธนาคม จำนวน 500,000 บาท เมื่อปี พ.ศ. 2539 โดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี / มีนายเพชร เป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งระบุในสัญญาค้ำประกันว่า “ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 500,000 บาท” // และมีนางมณี นำที่ดินแปลงหนึ่งของตนมาจำนองเป็นประกันหนี้ทั้งหมดของนางแก้ว / โดยมีข้อกำหนดในสัญญาจำนองว่า “ถ้าในการบังคับจำนองตามสัญญานี้ ได้เงินจำนวนสุทธิไม่พอจำนวนเงินที่ค้างชำระขาดจำนวนอยู่เท่าใดผู้จำนองยอมรับผิดใช้เงินส่วนที่ขาดจำนวนนั้นให้แก่ผู้รับจำนองจนครบจำนวน” ด้วย
ต่อมา นางแก้ว ผิดนัดไม่ชำระหนี้และไม่มีทรัพย์สินใดที่จะนำมาชำระหนี้แก่นายธนาคมได้ นายธนาคม จึงทวงถามให้นายเพชร ในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกันซึ่งยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันกับนางแก้ว ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย / ก่อนการทวงถามซึ่งนายธนาคมขอคิดดอกเบี้ยเพียง 5 ปี รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน875,000 บาท แต่นายเพชร ขอชำระหนี้ให้เพียง 500,000 บาท / นายธนาคมไม่ยอมรับชำระหนี้จากนายเพชร / และบอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินของนางมณี // ให้วินิจฉัยว่า นายเพชรและนางมณี จะต้องรับผิดต่อนายธนาคม หรือไม่เพียงใด
ธงคำตอบ
การที่นายเพชร ทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดจำกัดวงเงินสำหรับต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 500,000 บาท / แม้นายเพชร ตกลงยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 691 แต่ก็มีความหมายเพียงว่านายเพชรซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดร่วมกับนางแก้ว ในอันที่จะต้องชำระหนี้ตามสัญญาภายในวงเงินที่จำกัดจำนวนไว้ / กล่าวคือ ในต้นเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 500,000 บาท เท่านั้น / มิได้หมายความว่าจะต้องรับผิดในจำนวนหนี้เท่ากับนางแก้ว ผู้เป็นลูกหนี้ชั้นต้นแต่อย่างใด
ดังนั้น เมื่อหนี้ถึงกำหนด นายเพชร ขอชำระหนี้แก่นายธนาคมโดยชอบแล้ว ตามมาตรา 701 วรรคหนึ่ง แต่นายธนาคมไม่ยอมรับชำระหนี้จากนายเพชรโดยจะให้นายเพชร ชำระหนี้ในยอดหนี้ที่เกินกว่าความรับผิดของนายเพชรย่อมทำให้นายเพชร ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน หลุดพ้นจากความรับผิดในการชำระหนี้รายนี้ ตามมาตรา 701 วรรคสอง (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 382/2537)
ส่วนการที่นางมณี ทำสัญญาจำนองเป็นประกันหนี้ทั้งหมดของนางแก้วโดยมีข้อกำหนดในสัญญาจำนองว่า “ถ้าในการบังคับจำนองตามสัญญานี้ได้เงินไม่พอจำนวนเงินที่ค้างชำระ ขาดจำนวนอยู่เท่าใด ผู้จำนองยอมรับผิดใช้เงินที่ขาดจำนวนนั้นให้แก่ผู้รับจำนองจนครบจำนวน” ข้อตกลงนี้ แม้จะแตกต่างกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ก็ไม่เป็นโมฆะ เพราะบทบัญญัติดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นางมณี ผู้จำนองอาจตกลงกับ ผู้รับจำนองเป็นประการอื่นได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 1507/2538 และที่ 168/2518) นางมณี จึงต้องรับผิดเต็มจำนวนหนี้ทั้งหมดของนางแก้ว โดยในการบังคับจำนองขายทอดตลาดที่ดินตามสัญญาจำนอง ถ้าได้เงินไม่พอจำนวนหนี้ทั้งหมดของนางแก้ว ขาดจำนวนอยู่เท่าใด นายธนาคม ย่อมบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่น ของนางมณี ได้จนครบจำนวนหนี้ทั้งหมดของนางแก้วด้วย
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 691 ถ้า ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้ ท่านว่า ผู้ค้ำประกันย่อมไม่มีสิทธิ ดั่งกล่าวไว้ใน มาตรา 688, มาตรา 689 และ มาตรา 690
มาตรา 688 เมื่อเจ้าหนี้ทวงให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อนก็ได้ เว้นแต่ ลูกหนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนล้มละลายเสียแล้ว หรือไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ไปอยู่แห่งใดในพระราชอาณาเขต
มาตรา 689 ถึงแม้จะได้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ ดั่งกล่าวมาในมาตราก่อนนั้นแล้วก็ตาม ถ้าผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่า ลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชำระหนี้ได้และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยากไซร้ ท่านว่า เจ้าหนี้จะต้องบังคับการชำระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน
มาตรา 690 ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ ท่านว่า เจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน
มาตรา 701 ผู้ค้ำประกันจะขอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่เมื่อถึงกำหนดชำระก็ได้
ถ้าเจ้าหนี้ไม่ยอมรับชำระหนี้ผู้ค้ำประกันก็เป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิด
มาตรา 733 ถ้าเอาทรัพย์จำนองหลุด และราคาทรัพย์สินนั้น มีประมาณต่ำกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ก็ดี หรือถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ ได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่นั้นก็ดีเงินยังขาดจำนวนอยู่เท่าใด ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น