คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๗๗๓/๒๕๕๘
ค่าชดเชย เป็นเงินที่นายจ้างมีหน้าที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างตามกฏหมาย เมื่อนายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่ได้เป็นฝ่ายกระทำความผิด ค่าชดเชยมีลักษณะเป็นหลักประกันในการทำงานแก่ลูกจ้างเพื่อป้องกันมิให้นายจ้างปัดความรับผิดชอบต่อการเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิดตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้เงื่อนไขและอัตราการจ่ายค่าชดเชยก็ให้กำหนดตามระยะเวลาทำงานให้แก่นายจ้าง ซึ่งแบ่งเป็น ๕ ช่วง
เมื่อได้ความว่าระเบียบว่าด้วยสวัสดิการพนักงานของจำเลย ข้อ ๒ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า "เมื่อสิ้นสุดการจ้างตามหมวด ๙ ข้อ ๕๔ หรือลาออกแต่ไม่ใช่การลาออกเพื่อหลีกเลี่ยงการไล่ออกเนื่องจากการกระทำผิด พนักงานจะได้รับบำเหน็จจากบริษัทหากทำงานเกินกว่าหกปี ให้นำเงินเดือนพื้นฐานเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงานและคูณด้วย ๕๐% บริษัทจะจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน หรือเงินบำเหน็จเพียงอย่างเดียว ซึ่งแล้วแต่เงินประเภทไหนสูงกว่า และให้ถือว่าเงินบำเหน็จนี้เป็นเงินชดเชยตามกฏหมายแรงงานด้วย"
หลักเกณฑ์การจ่ายเงินบำเหน็จตามระเบียบของจำเลย เงินบำเหน็จ เป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเกณฑ์และวิธีการแตกต่างจากการจ่ายค่าชดเชยที่จ่ายให้เฉพาะลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดเท่านั้น ทั้งได้กำหนดเงื่อนไขไว้แตกต่างจากบทบัญญัติของกฎหมายเรื่องการจ่ายค่าชดเชย วิธีการคำนวณเงินบำเหน็จก็แตกต่างกันเห็นได้ชัดเจน เงินบำเหน็จจึงเป็นเงินประเภทอื่นต่างหากจากค่าชดเชย
ดังนั้น ในระเบียบว่าด้วยสวัสดิการพนักงานของจำเลยข้อ ๒ ที่กำหนดให้ "ให้ถือว่าเงินบำเหน็จนี้เป็นเงินชดเชยตามกฏหมายแรงงานด้วย" ก็ไม่มีผลให้เงินบำเหน็จกลายเป็นค่าชดเชยไปได้ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยยังไม่จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ ๓๘๗/๒๕๒๔
ระเบียบว่าด้วยเวลาทำงาน ฯลฯ ของโรงงานจำเลยกำหนดว่า เมื่อพนักงานประจำต้องออกจากงาน จะได้รับเงินชดเชยและเงินบำเหน็จทั้งสองอย่าง และตอนต้นของระเบียบได้กล่าวถึงเหตุผลในการออกระเบียบนี้ว่า โดยที่ได้พิจารณาเห็นสมควรกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดงาน ค่าจ้าง เงินชดเชย เงินค่าทดแทน ค่ารักษาพยาบาล และค่าทำศพ และบำเหน็จพนักงานและคนงานในโรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติแรงงานระเบียบนี้ประกาศใช้ภายหลังที่ได้มีพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ.2499
ต่อมาพระราชบัญญัติแรงงานฯ ได้ถูกยกเลิกไป และมีประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 46 ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างประจำ ซึ่งกำหนดอัตราค่าชดเชยไว้เป็นผลดีแก่ฝ่ายลูกจ้างมากขึ้นกว่าตามพระราชบัญญัติแรงงานฯ ส่วนระเบียบการจ่ายเงินชดเชยของจำเลยมิได้เปลี่ยนแปลงอย่างใด
ดังนี้ หากจำเลยจ่ายค่าชดเชยน้อยไปไม่ครบตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จำเลยก็มีหน้าที่ต้องจ่ายให้ครบ ส่วนเงินบำเหน็จตามระเบียบของจำเลยนั้น ต้องการให้พนักงานที่ทำงานมาด้วยดี ได้รับเงินตอบแทนความชอบอีกส่วนหนึ่งเพิ่มขึ้นจากเงินชดเชย และบำเหน็จนี้ตามระเบียบของจำเลยกำหนดว่า "ถ้ามากกว่าเงินชดเชย ให้ตัดเงินบำเหน็จออกเท่ากับจำนวนเงินชดเชย แต่ถ้าน้อยกว่า ก็ให้ได้รับแต่เงินชดเชยอย่างเดียว" แปลได้ว่า พนักงานประจำทุกคนมีสิทธิได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานจนครบตามสิทธิของตนและยังมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จอีกด้วย ถ้าเงินบำเหน็จมากกว่าเงินชดเชยก็ให้ได้รับเงินบำเหน็จเฉพาะส่วนที่มากกว่าเงินชดเชย เมื่อรวมกับเงินชดเชยแล้วก็จะได้เท่ากับเงินบำเหน็จทั้งหมดนั่นเอง แต่ถ้าเงินบำเหน็จน้อยกว่าเงินชดเชยก็ให้ได้รับแต่ค่าชดเชยอย่างเดียว
ดังนั้น เห็นได้ว่าเงินบำเหน็จที่พนักงานได้รับไปนั้น เป็นเงินชดเชยตามระเบียบของจำเลยหรือค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ รวมอยู่ด้วยแล้ว เมื่อโจทก์ทุกคนได้รับบำเหน็จไปแล้วมีจำนวนเงินเกินกว่าค่าชดเชยที่ขอมาตามฟ้อง จึงถือได้ว่าจำเลยได้จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ทุกคนไปแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์อีก