(๒) ต้องการรวมหนี้จากเจ้าหนี้หลายราย เป็นเจ้าหนี้รายเดียว
(๓) ต้องการชำระเงินต้นให้รวดเร็วขึ้น
ปัจจุบันลูกหนี้นิยมการทำ Refinance สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ในการ Refinance ลูกหนี้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ โดยเฉพาะการ Refinance สินเชื่อบ้านเพราะเป็นหนี้ระยะยาวที่มีเงินต้นค่อนข้างสูง
ในการ Refinance สินเชื่อบ้านเพื่อลดภาระอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลงนี้ ลูกหนี้ควรพิจารณาเปรียบเทียบ ภาระดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินเดิม กับ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการย้ายสถาบันการเงิน (Switching Cost) ประกอบการพิจารณาด้วย ดังนี้
- ค่าธรรมเนียมในการจดจำนอง 1% ของวงเงินที่จะจำนอง จ่ายให้กับกรมที่ดิน
- ค่าอากรแสตมป์ อยู่ที่ 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่
- ค่าประเมินหลักประกันหรือหลักทรัพย์ ให้แก่สถาบันการเงินใหม่ ประมาณ 0.25 – 2% ของราคาประเมินของกรมที่ดิน หรือประมาณ 15,000 – 10,000 บาท
- ค่าธรรมเนียมการจัดการเงินกู้ประมาณ 0.25 – 2%
- ค่าประกันอัคคีภัย ประมาณ 1,500 บาท - 0.25% ของราคาประเมิน ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะถูกยกเว้น ถ้ารีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินเดิม หรืออาจยกประโยชน์จากสัญญาประกันเดิมให้คุ้มครองหลักประกันนี้ ต่อเนื่องถึงสถาบันการเงินใหม่ก็ได้ (แล้วแต่กรณี)
- ค่าปรับการคืนเงินกู้ก่อนกำหนดตามสัญญาเดิมที่มีอยู่ โดยประมาณอยู่ที่ 0-2% ของยอดหนี้ที่จะรีไฟแนนซ์ ซึ่งจะต้องจ่ายให้กับสถาบันการเงินหรือผู้ให้กู้เดิม ถ้าหากรีไฟแนนซ์ทั้งก้อนก่อนครบกำหนดตามสัญญาเดิม ซึ่งแต่ละสถาบันการเงินกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนก่อนกำหนดต่างกัน
- ค่าเบี้ยปรับสำหรับกรณีที่ไถ่ถอนก่อนกำหนด ซึ่งสถาบันการเงินเดิมส่วนใหญ่จะคิดค่าปรับประมาณ 2 – 5% ของวงเงินกู้ หรือยอดเงินต้นคงเหลือ(ถ้าไถ่ถอนบ้านในช่วง 2 – 3 ปีแรก ตามที่ระบุในสัญญา)