วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2563

รีไฟแนนซ์

                  รีไฟแนนซ์ (Refinance) คือ การก่อหนี้ใหม่เพื่อมาใช้หนี้เก่า โดยจะได้รับประโยชน์ที่ดีกว่า ด้วยการก่อหนี้ก้อนใหม่ เช่น กู้เงินซื้อบ้านหลังละ 3 ล้าน พอผ่อนไปได้ 1-2 ปีแรก ดอกเบี้ยจะถูกอยู่ แต่หลังจากนั้นจะเกิดปัญหาดอกเบี้ยลอยตัวแพงขึ้น ทำให้ผ่อนชำระไม่ทัน หรือในกรณีดอกเบี้ยปัจจุบันลดลงกว่าเดิมมาก ซึ่งทางออกก็ คือ การรีไฟแนนซ์บ้าน กับธนาคารเดิมหรือธนาคารใหม่ซึ่งจะมีเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ดีกว่าเดิม อัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ถูกกว่า  ทำให้ประหยัดค่างวดผ่อนต่อเดือนที่น้อยลง หรือ ระยะเวลาผ่อนที่ยาวนานมากขึ้นเมื่อเทียบกับสัญญากู้เดิม กล่าวคือ
             (ได้รับอัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้ลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละงวดลง โดยสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบดอกเบี้ย จากแบบ MRR (Minimum Retail Rate) หรือ “ดอกเบี้ยลอยตัว” ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ มาเป็นดอกเบี้ยแบบคงที่” ทำให้คนที่มีเงินเดือนสามารถจ่ายเงินได้ในอัตราที่น้อยลงกว่าเดิมในระยะยาว โดยจะไม่ได้รับผลกระทบหากเกิดการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยอื่น  ภายในประเทศ ช่วยจะทำให้สามารถยืดเวลาการผ่อนชำระหนี้เดิมออกไปได้นานขึ้น พร้อมทั้งทำให้ค่างวดที่ต้องชำระต่อเดือนถูกลง ทำให้สามารถควบคุมการใช้เงินได้

            (ต้องการรวมหนี้จากเจ้าหนี้หลายราย เป็นเจ้าหนี้รายเดียว 

            (ต้องการชำระเงินต้นให้รวดเร็วขึ้น 

            ปัจจุบันลูกหนี้นิยมการทำ Refinance สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ในการ Refinancลูกหนี้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ โดยเฉพาะการ Refinance สินเชื่อบ้านเพราะเป็นหนี้ระยะยาวที่มีเงินต้นค่อนข้างสูง

            ในการ Refinance สินเชื่อบ้านเพื่อลดภาระอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลงนี้ ลูกหนี้ควรพิจารณาเปรียบเทียบ ภาระดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินเดิม กับ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการย้ายสถาบันการเงิน (Switching Cost) ประกอบการพิจารณาด้วย ดังนี้

             ค่าธรรมเนียมในการจดจำนอง 1% ของวงเงินที่จะจำนอง จ่ายให้กับกรมที่ดิน 

             ค่าอากรแสตมป์ อยู่ที่ 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่

             ค่าประเมินหลักประกันหรือหลักทรัพย์ ให้แก่สถาบันการเงินใหม่ ประมาณ 0.25 – 2% ของราคาประเมินของกรมที่ดิน หรือประมาณ 15,000 – 10,000 บาท 

            ค่าธรรมเนียมการจัดการเงินกู้ประมาณ 0.25 – 2% 

            ค่าประกันอัคคีภัย ประมาณ 1,500 บาท - 0.25% ของราคาประเมิน ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะถูกยกเว้น ถ้ารีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินเดิม หรืออาจยกประโยชน์จากสัญญาประกันเดิมให้คุ้มครองหลักประกันนี้ ต่อเนื่องถึงสถาบันการเงินใหม่ก็ได้ (แล้วแต่กรณี

            ค่าปรับการคืนเงินกู้ก่อนกำหนดตามสัญญาเดิมที่มีอยู่ โดยประมาณอยู่ที่ 0-2% ของยอดหนี้ที่จะรีไฟแนนซ์ ซึ่งจะต้องจ่ายให้กับสถาบันการเงินหรือผู้ให้กู้เดิม ถ้าหากรีไฟแนนซ์ทั้งก้อนก่อนครบกำหนดตามสัญญาเดิม ซึ่งแต่ละสถาบันการเงินกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนก่อนกำหนดต่างกัน

            - ค่าเบี้ยปรับสำหรับกรณีที่ไถ่ถอนก่อนกำหนด ซึ่งสถาบันการเงินเดิมส่วนใหญ่จะคิดค่าปรับประมาณ 2 – 5% ของวงเงินกู้ หรือยอดเงินต้นคงเหลือ(ถ้าไถ่ถอนบ้านในช่วง 2 – 3 ปีแรก ตามที่ระบุในสัญญา)

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เงินบำเหน็จและค่าชดเชย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๗๗๓/๒๕๕๘ 
                   ค่าชดเชย เป็นเงินที่นายจ้างมีหน้าที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างตามกฏหมาย เมื่อนายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่ได้เป็นฝ่ายกระทำความผิด ค่าชดเชยมีลักษณะเป็นหลักประกันในการทำงานแก่ลูกจ้างเพื่อป้องกันมิให้นายจ้างปัดความรับผิดชอบต่อการเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิดตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้เงื่อนไขและอัตราการจ่ายค่าชดเชยก็ให้กำหนดตามระยะเวลาทำงานให้แก่นายจ้าง ซึ่งแบ่งเป็น ๕ ช่วง 
                   เมื่อได้ความว่าระเบียบว่าด้วยสวัสดิการพนักงานของจำเลย ข้อ ๒ วรรคหนึ่ง กำหนดว่า "เมื่อสิ้นสุดการจ้างตามหมวด ๙ ข้อ ๕๔ หรือลาออกแต่ไม่ใช่การลาออกเพื่อหลีกเลี่ยงการไล่ออกเนื่องจากการกระทำผิด พนักงานจะได้รับบำเหน็จจากบริษัทหากทำงานเกินกว่าหกปี ให้นำเงินเดือนพื้นฐานเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงานและคูณด้วย ๕๐% บริษัทจะจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน หรือเงินบำเหน็จเพียงอย่างเดียว ซึ่งแล้วแต่เงินประเภทไหนสูงกว่า และให้ถือว่าเงินบำเหน็จนี้เป็นเงินชดเชยตามกฏหมายแรงงานด้วย" 
                   หลักเกณฑ์การจ่ายเงินบำเหน็จตามระเบียบของจำเลย เงินบำเหน็จ เป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเกณฑ์และวิธีการแตกต่างจากการจ่ายค่าชดเชยที่จ่ายให้เฉพาะลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดเท่านั้น ทั้งได้กำหนดเงื่อนไขไว้แตกต่างจากบทบัญญัติของกฎหมายเรื่องการจ่ายค่าชดเชย วิธีการคำนวณเงินบำเหน็จก็แตกต่างกันเห็นได้ชัดเจน เงินบำเหน็จจึงเป็นเงินประเภทอื่นต่างหากจากค่าชดเชย 
                   ดังนั้น ในระเบียบว่าด้วยสวัสดิการพนักงานของจำเลยข้อ ๒ ที่กำหนดให้ "ให้ถือว่าเงินบำเหน็จนี้เป็นเงินชดเชยตามกฏหมายแรงงานด้วย" ก็ไม่มีผลให้เงินบำเหน็จกลายเป็นค่าชดเชยไปได้ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยยังไม่จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฏีกาที่ ๓๘๗/๒๕๒๔                 
                   ระเบียบว่าด้วยเวลาทำงาน ฯลฯ ของโรงงานจำเลยกำหนดว่า เมื่อพนักงานประจำต้องออกจากงาน จะได้รับเงินชดเชยและเงินบำเหน็จทั้งสองอย่าง และตอนต้นของระเบียบได้กล่าวถึงเหตุผลในการออกระเบียบนี้ว่า โดยที่ได้พิจารณาเห็นสมควรกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดงาน ค่าจ้าง เงินชดเชย เงินค่าทดแทน ค่ารักษาพยาบาล และค่าทำศพ และบำเหน็จพนักงานและคนงานในโรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติแรงงานระเบียบนี้ประกาศใช้ภายหลังที่ได้มีพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ.2499 
                   ต่อมาพระราชบัญญัติแรงงานฯ ได้ถูกยกเลิกไป และมีประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 46 ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างประจำ ซึ่งกำหนดอัตราค่าชดเชยไว้เป็นผลดีแก่ฝ่ายลูกจ้างมากขึ้นกว่าตามพระราชบัญญัติแรงงานฯ ส่วนระเบียบการจ่ายเงินชดเชยของจำเลยมิได้เปลี่ยนแปลงอย่างใด 
                   ดังนี้ หากจำเลยจ่ายค่าชดเชยน้อยไปไม่ครบตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จำเลยก็มีหน้าที่ต้องจ่ายให้ครบ ส่วนเงินบำเหน็จตามระเบียบของจำเลยนั้น ต้องการให้พนักงานที่ทำงานมาด้วยดี ได้รับเงินตอบแทนความชอบอีกส่วนหนึ่งเพิ่มขึ้นจากเงินชดเชย และบำเหน็จนี้ตามระเบียบของจำเลยกำหนดว่า "ถ้ามากกว่าเงินชดเชย ให้ตัดเงินบำเหน็จออกเท่ากับจำนวนเงินชดเชย แต่ถ้าน้อยกว่า ก็ให้ได้รับแต่เงินชดเชยอย่างเดียว" แปลได้ว่า พนักงานประจำทุกคนมีสิทธิได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานจนครบตามสิทธิของตนและยังมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จอีกด้วย ถ้าเงินบำเหน็จมากกว่าเงินชดเชยก็ให้ได้รับเงินบำเหน็จเฉพาะส่วนที่มากกว่าเงินชดเชย เมื่อรวมกับเงินชดเชยแล้วก็จะได้เท่ากับเงินบำเหน็จทั้งหมดนั่นเอง แต่ถ้าเงินบำเหน็จน้อยกว่าเงินชดเชยก็ให้ได้รับแต่ค่าชดเชยอย่างเดียว 
                   ดังนั้น เห็นได้ว่าเงินบำเหน็จที่พนักงานได้รับไปนั้น เป็นเงินชดเชยตามระเบียบของจำเลยหรือค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ รวมอยู่ด้วยแล้ว เมื่อโจทก์ทุกคนได้รับบำเหน็จไปแล้วมีจำนวนเงินเกินกว่าค่าชดเชยที่ขอมาตามฟ้อง จึงถือได้ว่าจำเลยได้จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ทุกคนไปแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์อีก


วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

การเลิกจ้าง กับ ค่าชดเชย

                  พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑  
                  มาตรา ๕  ในพระราชบัญญัตินี้  
                   "ค่าชดเชย" หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง นอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง  

                  การเลิกจ้างกรณีปกติ
                  การเลิกจ้าง  หมายความว่า
                  ๑.  การที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด
                  ๒.  การที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้าง เพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป

         มาตรา ๑๑๘  ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้าง ดังต่อไปนี้  
                 (๑)  ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหนึ่งร้อยยี่สิบวัน แต่ไม่ครบหนึ่งปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสามสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้าง ซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
         (๒)  ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหนึ่งปี แต่ไม่ครบสามปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายเก้าสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานเก้าสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้าง ซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
         (๓)  ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสามปี แต่ไม่ครบหกปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
         (๔)  ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหกปี แต่ไม่ครบสิบปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้าง อัตราสุดท้ายสองร้อยสี่สิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสองร้อยสี่สิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้าง ซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
                  (๕) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสิบปี แต่ไม่ครบยี่สิบปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามร้อยวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสามร้อยวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
                  (๖) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบยี่สิบปีขึ้นไป ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสี่ร้อยวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสี่ร้อยวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
                  การเลิกจ้างตามมาตรานี้ หมายความว่า การกระทำใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด และหมายความรวมถึงกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป
                  ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น
                  การจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาตามวรรคสามจะกระทำได้สำหรับการจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้างซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอนหรืองานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงานหรือในงานที่เป็นไปตามฤดูกาลและได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้นซึ่งงานนั้นจะต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกินสองปีโดยนายจ้างและลูกจ้างได้ทำสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง

                  มาตรา ๑๑๘/๑  การเกษียณอายุตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันหรือตามที่นายจ้างกําหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นการเลิกจ้างตามมาตรา ๑๑๘ วรรคสอง
                  ในกรณีที่มิได้มีการตกลงหรือกําหนดการเกษียณอายุไว้ หรือมีการตกลงหรือกําหนดการเกษียณอายุไว้เกินกว่าหกสิบปี ให้ลูกจ้างที่มีอายุครบหกสิบปีขึ้นไปมีสิทธิแสดงเจตนาเกษียณอายุได้โดยให้แสดงเจตนาต่อนายจ้างและให้มีผลเมื่อครบสามสิบวันนับแต่วันแสดงเจตนา และให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่เกษียณอายุนั้น ตามมาตรา ๑๑๘ วรรคหนึ่ง

              มาตรา ๑๑๙  นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใด ดังนี้
      (๑)  ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
      (๒)  จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
      (๓)  ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
              (๔)  ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมและนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน
            หนังสือเตือนให้มีผลบังคับใช้ได้ไม่เกินหนึ่งปี นับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
      (๕)  ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร
      (๖)  ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก  เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
              ในกรณี (๖) ถ้าเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษต้องเป็นกรณีที่เป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
              การเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามวรรคหนึ่ง ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้างไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างหรือไม่ได้แจ้งเหตุที่เลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะที่เลิกจ้าง นายจ้างจะยกเหตุนั้นขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้

              การบอกเลิกสัญญาจ้าง
      ก.  การจ้างมีกำหนดระยะเวลา สัญญาจ้างสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะเวลาจ้าง โดยนายจ้างและลูกจ้างไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
      ข.  การจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา ถ้านายจ้างเป็นฝ่ายเลิกจ้างหรือลูกจ้างขอลาออกจาก ให้ฝ่ายนั้นบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบอย่างน้อยหนึ่งงวดการจ่ายค่าจ้าง

              มาตรา ๑๒๑  ในกรณีที่นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างปรับปรุงหน่วยงาน กระบวนการผลิต การจำหน่าย หรือการบริการ อันเนื่องจากการนำเครื่องจักรมาใช้หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรือเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องลดจำนวนลูกจ้าง ห้ามมิให้นำมาตรา ๑๗ วรรคสอง มาใช้บังคับ และให้นายจ้างแจ้งวันที่จะเลิกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหกสิบวันก่อนวันที่จะเลิกจ้าง  
              ในกรณีที่นายจ้างไม่แจ้งให้ลูกจ้างที่จะเลิกจ้างทราบล่วงหน้า หรือแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่าระยะเวลาที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง นอกจากจะได้รับค่าชดเชยตามมาตรา ๑๑๘ แล้ว ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายหกสิบวัน หรือเท่ากับค่าจ้างของการทำงานหกสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วยด้วย
      ในกรณีที่มีการจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามวรรคสองแล้ว ให้ถือว่านายจ้างได้จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย

หลักการจัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน

                พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๖๐ มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๐๘ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๑/๒๕๖๐ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่ออํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ลงวันที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

                 มาตรา ๑๐๘  ให้นายจ้างซึ่งมีลูกจ้างรวมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป จัดให้มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางานเป็นภาษาไทย และข้อบังคับนั้นอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับรายการ ดังต่อไปนี้
                 (๑) วันทํางาน เวลาทํางานปกติ และเวลาพัก
                 (๒) วันหยุดและหลักเกณฑ์การหยุด
                 (๓) หลักเกณฑ์การทํางานล่วงเวลาและการทํางานในวันหยุด
                 (๔) วันและสถานที่จ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทํางานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุด
                 (๕) วันลาและหลักเกณฑ์การลา
                 (๖) วินัยและโทษทางวนิัย
                 (๗) การร้องทุกข์
                 (๘) การเลิกจ้าง ค่าชดเชย และค่าชดเชยพิเศษ
                 ให้นายจ้างประกาศใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางานภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่นายจ้างมีลูกจ้างรวมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป และให้นายจ้างจัดเก็บสําเนาข้อบังคับนั้นไว้ ณ สถานประกอบกิจการหรือสํานักงานของนายจ้างตลอดเวลา
                 ให้นายจ้างเผยแพร่และปิดประกาศข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางานโดยเปิดเผย ณ สถานที่ทํางานของลูกจ้าง หรือเพิ่มเติมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยก็ได้ เพื่อให้ลูกจ้างได้ทราบและเข้าถึงได้โดยสะดวก

คำอธิบาย
               ๑.  สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ต้องจัดให้มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นภาษาไทยและประกาศใช้ภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่นายจ้างมีลูกจ้างตั้งแต่สิบคนขึ้นไป
               ๒.  ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานต้องปิดประกาศให้ลูกจ้างทราบในที่เปิดเผย ณ สถานที่ทำงานของลูกจ้าง
               ๓.  การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานนายจ้างต้องปิดประกาศภายในเจ็ดวัน นับแต่วันประกาศใช้
               ๔.  นายจ้างต้อง 
                     ๔.๑  จัดให้มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานนายจ้างต้องส่งสำเนาข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานนั้นภายในเจ็ดวันนับแต่วันประกาศใช้ ณ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเขตพื้นที่ หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดท้องที่ที่สถานประกอบกิจการของนายจ้างตั้งอยู่ ในกรณีที่สถานประกอบกิจการมีสำนักงานสาขา โรงงาน หน่วยงานหลายแห่ง และใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับเดียวกันให้ส่งสำเนาข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานต่อหน่วยงานราชการดังกล่าว ซึ่งอยู่ในท้องที่ที่หน่วยงานแต่ละแห่งของนายจ้างตั้งอยู่ หรือส่งสำเนาข้อบังคับฯ ของสำนักงาน สาขา โรงงาน หน่วยงานทั้งหมดต่อหน่วยงานราชการดังกล่าว ซึ่งอยู่ในท้องที่ที่สำนักงานแห่งใหญ่ของนายจ้างตั้งอยู่ในคราวเดียวกันก็ได้
                   ๔.๒  การเก็บสำเนาข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานนั้นให้เก็บไว้ ณ สถานประกอบกิจการแต่ละแห่ง 
             ๕.  อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจสั่งแก้ไขข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่ขัดต่อกฎหมายให้ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนดได้ 
             ๖.  ในกรณีที่จำนวนลูกจ้างลดลงต่ำกว่าสิบคน ให้ใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่ได้ประกาศใช้แล้วต่อไป
             ๗.  การไม่จัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือการไม่แก้ไขข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามคำสั่งของอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายเป็นความผิดมาตรา ๑๔๖ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

(ข้อมูลจาก  กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม)