วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2568

งบแสดงฐานะการเงิน

               งบแสดงฐานะการเงิน (Statement of Financial Position) หรือ งบดุล (Balance Sheet) 
               คือ รายงานทางการเงินที่สำคัญ แสดงให้เห็นถึง ฐานะทางการเงินของกิจการ ณ วันใดวันหนึ่ง โดยจะประกอบด้วยข้อมูลหลัก 3 ส่วน ได้แก่
               1. สินทรัพย์ (Assets)  คือ สิ่งที่กิจการเป็นเจ้าของและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอนาคตได้ เช่น เงินสด, ลูกหนี้, สินค้าคงเหลือ, ที่ดิน, อาคาร, อุปกรณ์
               2. หนี้สิน (Liabilities)  คือ ภาระผูกพันที่กิจการจะต้องชำระคืนในอนาคต เช่น เจ้าหนี้, เงินกู้ยืม, ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย
               3. ส่วนของเจ้าของ (Equity)  คือ ส่วนที่เหลือของสินทรัพย์หลังจากหักหนี้สินออกไปแล้ว ซึ่งก็คือ เงินลงทุน รวมถึงกำไรสะสมของกิจการ

               ความสัมพันธ์ทางสมการทางบัญชีที่สำคัญ คือ  "สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ"
               งบแสดงฐานะการเงิน จะช่วยประเมินสภาพคล่อง ความมั่นคง และความสามารถในการชำระหนี้ของกิจการได้ ณ เวลาหนึ่งๆ

(ขอขอบคุณภาพจาก https://www.myaccount-cloud.com/)



งบกำไรขาดทุน

                 งบกำไรขาดทุน (Income Statement) , งบผลการดำเนินงาน (Statement of Operations) , งบรายได้และค่าใช้จ่าย (Statement of Revenue and Expense) 
                 คือ รายงานทางการเงินที่แสดงผลการดำเนินงานของกิจการในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ เพื่อให้เห็นว่ากิจการมีกำไรหรือขาดทุนจากการดำเนินงานปกติ หรือธุรกิจมีรายได้เข้ามา และมีค่าใช้จ่ายออกไป เป็นจำนวนเท่าใดในช่วงเวลาที่กำหนด อาจจะเป็นช่วงเวลา 3 เดือน (ไตรมาส) 6 เดือน (ครึ่งปี) หรือ 1 ปี 
                 ทั้งนี้ เพื่อประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงาน ผู้ใช้งบการเงินสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ว่ากิจการบริหารจัดการรายได้และค่าใช้จ่ายได้ดีเพียงใด และเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุน การให้สินเชื่อ หรือการวางแผนธุรกิจในอนาคต

                 องค์ประกอบหลักของงบกำไรขาดทุน ประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้
                 1. รายได้ (Revenues) เช่น รายได้จากการขายสินค้า หรือรายได้จากการให้บริการ รวมถึงรายได้อื่น ๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานหลักโดยตรง เช่น รายได้ดอกเบี้ย หรือรายได้ค่าเช่า
                 2. ค่าใช้จ่าย (Expenses) เพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ ประกอบด้วย ต้นทุนขาย (Cost of Goods Sold/Cost of Services) ที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือบริการที่ขาย เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรงงานผลิต รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (Selling and Administrative Expenses) เช่น เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่า ค่าโฆษณา ค่าเสื่อมราคา ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ดอกเบี้ยจ่าย หรือขาดทุนจากการขายสินทรัพย์
                3. กำไรหรือขาดทุนสุทธิ (Net Income or Net Loss) เป็น ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้จากการนำรายได้ทั้งหมดมาหักลบด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด จะได้ผลลัพธ์คือ กำไรสุทธิ (Net Income) หรือ ขาดทุนสุทธิ (Net Loss)

                รูปแบบงบกำไรขาดทุน มี 2 รูปแบบ คือ
                1. แบบขั้นเดียว (Single-Step Income Statement) คือ รวมรายได้ และรวมค่าใช้จ่าย ทุกประเภทไว้ด้วยกัน 
                2. แบบหลายขั้น (Multi-Step Income Statement) คือ แสดงรายละเอียดของรายได้และค่าใช้จ่ายแยกเป็นหมวดหมู่ย่อย ๆ และมีการคำนวณกำไรขั้นต้น กำไรจากการดำเนินงาน ก่อนที่จะไปถึงกำไรสุทธิ ซึ่งมีความซับซ้อนกว่า เพื่อให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการวิเคราะห์มากขึ้น

(ขอขอบคุณภาพตัวอย่างจาก https://tanateauditor.com/income-statement/)


งบทดลอง

             งบทดลอง (Trial Balance) คือ รายงานที่รวบรวมยอดคงเหลือของบัญชีแยกประเภททั้งหมด ณ วันใดวันหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ความสมดุลของผลรวมยอดคงเหลือด้านเดบิตและด้านเครดิต เพื่อตรวจสอบว่า รายการที่เราบันทึกไว้ในสมุดบัญชีต่าง ๆ นั้น ถูกต้องและสมดุลกันหรือไม่ โดยหลักการบัญชีคู่ จะต้องมีการบันทึกทั้งด้านเดบิตและเครดิตด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันเสมอ จึงช่วยให้แน่ใจว่าระบบบัญชีของเราไม่มีข้อผิดพลาดเบื้องต้นเกิดขึ้น ซึ่งยอดคงเหลือในงบทดลองจะถูกนำไปใช้ในการจัดทำงบการเงินที่สำคัญ เช่น งบกำไรขาดทุน และงบแสดงฐานะการเงิน 
             โดยทั่วไป งบทดลองจะประกอบด้วย
             1. ชื่อบัญชี  เป็นรายการของบัญชีทั้งหมดที่มีในสมุดแยกประเภท เช่น เงินสด, ลูกหนี้, เจ้าหนี้, ทุน, รายได้, ค่าใช้จ่าย เป็นต้น
             2. เลขที่บัญชี  ได้แก่ รหัสของบัญชี (บางครั้งอาจไม่มี)
             3. ยอดคงเหลือด้านเดบิต  มีลักษณะเป็นสินทรัพย์ กับ ค่าใช้จ่าย
             4. ยอดคงเหลือด้านเครดิต  มีลักษณะเป็นหนี้สิน, ส่วนของเจ้าของ (ทุน) กับ รายได้      

             ภายใต้สมการ คือ “สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ(ทุน)”

             การจำแนกประเภทบัญชี  มี 5 ประเภท
             1. สินทรัพย์  เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร ลูกหนี้ ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ วัสดุในการซ่อม ดอกเบี้ยค้างรับ เครื่องใช้สำนักงาน 
             2. หนี้สิน  เช่น เจ้าหนี้ รายได้ค่าบริการรับล่วงหน้า เงินเดือนค่าแรงค้างจ่าย ค่าโทรศัพท์ค้างจ่าย ค่าไฟฟ้าค้างจ่าย
             3. ส่วนของเจ้าของ  เช่น ทุน เบิกใช้ส่วนตัว กำไรขาดทุน 
             4. รายได้  เช่น รายได้ค่าบริการ ดอกเบี้ยรับ 
             5. ค่าใช้จ่าย  เช่น เงินเดือนค่าแรง ค่าเช่า ค่าน้ำค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์



วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2568

รายงานข้อมูลทางการเงิน

ให้สหกรณ์จัดเก็บและรายงานข้อมูลทางการเงินของสหกรณ์ต่อนายทะเบียนสหกรณ์ ดังต่อไปนี้
     (๑) งบแสดงฐานะทางการเงิน
     (๒) งบกำไรขาดทุน
     (๓) งบทดลอง
           (๓.๑) งบทดลอง 
           (๓.๒) งบทดลอง (สหกรณ์สินทรัพย์ต่ำกว่า ๕๐ ล้านบาท) 
     (๔) การลงทุนในหลักทรัพย์
     (๕) ลูกหนี้เงินให้กู้ยืมและการฝากเงิน
           (๕.๑) ข้อกำหนดและเงื่อนไขการให้เงินกู้ยืม 
           (๕.๒) ลูกหนี้เงินให้กู้ยืมและการฝากเงิน (สถาบัน) 
           (๕.๓) ลูกหนี้เงินให้กู้ยืมรายใหญ๋ (รายบุคคล) 
     (๖) เจ้าหนี้เงินกู้และผู้ฝากเงิน
           (๖.๑) การรับฝากเงินและการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 
           (๖.๒) เจ้าหนี้เงินกู้และผู้ฝากเงิน (สถาบัน) 
           (๖.๓) เจ้าหนี้เงินกู้และผู้ฝากรายใหญ่ (รายบุคคล) 
     (๗) การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
     (๘) ฐานะสภาพคล่องสุทธิ
     (๙) รายงานการก่อหนี้
    (๑๐) การจัดชั้นสินทรัพย์และการกันเงินสำรอง
           (๑๐.๑) การจัดชั้นสินทรัพย์และการกันเงินสำรอง (สหกรณ์ที่หักชำระหนี้ ณ ที่จ่าย) 
           (๑๐.๒) การจัดชั้นสินทรัพย์และการกันเงินสำรอง (สหกรณ์ที่ไม่หักชำระหนี้ ณ ที่จ่าย) 
    (๑๑) รายงานการสอบทานหนี้
           (๑๑.๑) แผนการสอบทานหนี้ 
           (๑๑.๒) ผลการสอบทานหนี้ 
    (๑๒) การดำรงเงินกองทุน
    (๑๓) แบบรายงานคุณภาพลูกหนี้เงินให้กู้ยืม
            (๑๓.๑) แบบรายงานคุณภาพลูกหนี้เงินให้กู้ยืม 
            (๑๓.๒)  แบบรายงานคุณภาพลูกหนี้เงินให้กู้ยืม (สหกรณ์สินทรัพย์ต่ำกว่า ๕๐ ล้านบาท) 
    (๑๔) รายงานอื่นตามที่นายทะเบียนสหกรณ์ประกาศกำหนด (การจัดสรรกำไรสุทธิประจำปี)

(อ้างอิง กฎกระทรวง การดำเนินงานและการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ ๒๕๖๔ หมวด ๕  การบัญชีและการรายงานข้อมูล ข้อ ๒๕ , ประกาศนายทะเบียน เรื่อง การจัดเก็บและการรายงานข้อมูลทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ ๒๕๖๘ ข้อ ๕) 

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

หักเงินผู้ค้ำประกันบางเดือนเหลือศูนย์บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1498/2566 
ป.พ.พ. ม. 4, ม. 688
ป.วิ.พ. ม. 302
พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ.2542 ม. 42/1
ประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2549 ข้อ 31
               กฎหมายที่ใช้บังคับแก่สภาพการจ้างสำหรับลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ คือ ประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 โดยประกาศดังกล่าวข้อ 31 มีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองลูกจ้างให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ และเพื่อความมั่นคงของตัวลูกจ้าง ซึ่งจะส่งผลให้ลูกจ้างมีกำลังใจและความมุ่งมั่นในการทำงานให้แก่นายจ้างอย่างมีประสิทธิภาพ จึงกำหนดเป็นหลักการว่า ห้ามไม่ให้นายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดไว้ แต่หากลูกจ้างให้ความยินยอมล่วงหน้าไว้ นายจ้างก็มีสิทธิหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด เพื่อชำระหนี้สินของสหกรณ์ออมทรัพย์เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละสิบของเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ และมีสิทธิหักรวมกับเงินอื่นตาม (2) (4) และ (5) แล้วไม่เกินหนึ่งในห้าของเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับได้ หากลูกจ้างให้ความยินยอมเป็นหนังสือไว้ล่วงหน้าด้วย นายจ้างมีสิทธิหักค่าจ้างและเงินอื่นใดดังกล่าวเพื่อชำระหนี้สินสหกรณ์ออมทรัพย์เป็นจำนวนเกินร้อยละสิบของเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ และมีสิทธิหักรวมกับเงินอื่นตาม (2) (4) และ (5) แล้วเกินหนึ่งในห้าของเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับได้ ไม่ได้กำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำไว้ และไม่ได้กำหนดว่า หนี้สินของสหกรณ์ออมทรัพย์ต้องเป็นหนี้สินโดยตรงของลูกจ้างที่เกิดขึ้นแล้วในขณะลูกจ้างทำหนังสือให้ความยินยอม
               โจทก์ทำหนังสือถึงจำเลย ยินยอมให้จำเลยหักเงินเดือน ค่าจ้าง หรือเงินอื่นใด ที่ถึงกำหนดจ่ายแก่โจทก์ เพื่อชำระหนี้หรือภาระผูกพันที่มีต่อสหกรณ์ให้แก่สหกรณ์ตามจำนวนที่สหกรณ์แจ้งไป จนกว่าหนี้หรือภาระผูกพันนั้นจะระงับสิ้นไป โดยให้หักเงินและส่งเงินที่หักไว้นั้นให้แก่สหกรณ์โดยพลันโดยไม่ต้องฟ้องร้องแต่อย่างใด โดยโจทก์ยินยอมให้หักได้เกินกว่าร้อยละสิบและให้หักรวมกับรายการหักอื่น ๆ ได้เกินกว่าหนึ่งในห้าของเงินที่โจทก์มีสิทธิรับ ขณะโจทก์ทำหนังสือยินยอม หนี้เงินกู้ระหว่าง ฉ. ผู้กู้ กับสหกรณ์ออมทรัพย์การสื่อสารแห่งประเทศไทย จำกัด ได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว และโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกัน มีความผูกพันต่อสหกรณ์ออมทรัพย์การสื่อสารแห่งประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้กู้ ว่าจะเข้าชำระหนี้แทนหากผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ 
               การที่โจทก์ทำหนังสือยินยอมดังกล่าว เป็นการสละสิทธิเกี่ยงให้ผู้กู้ชำระหนี้ก่อน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 688 อันเป็นการให้ความยินยอมเป็นหนังสือไว้ล่วงหน้า ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ 31 วรรคสอง 
               ดังนี้ เมื่อผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินกู้ จำเลยจึงมีสิทธิหักเงินเดือนค่าจ้างของโจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้แทนผู้กู้ได้ นอกจากจำเลยหักเงินเดือนค่าจ้างหรือเงินอื่นใดของโจทก์ เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมแทนผู้กู้ ในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันแล้ว ยังหักเพื่อชำระค่าหุ้นของโจทก์ และหนี้เงินกู้ในฐานะที่โจทก์เป็นผู้กู้ด้วย ในขณะทำหนังสือยินยอม โจทก์สามารถคาดหมายได้ว่า เมื่อหักแล้วเงินเดือนค่าจ้างหรือเงินอื่นใดจะเหลือเพียงพอแก่การดำรงชีพได้หรือไม่ การที่จำเลยหักเงินเดือนค่าจ้างหรือเงินอื่นใดของโจทก์เพื่อชำระหนี้ดังกล่าวแล้วคงเหลือเงินไม่เพียงพอที่โจทก์สามารถดำรงชีพได้ หรือบางเดือนเหลือศูนย์บาท จึงเกิดจากการกระทำของโจทก์เอง
               ประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ 31 บัญญัติเกี่ยวกับการหักเงินเดือนค่าจ้างและเงินอื่นใด เพื่อชำระหนี้สินสหกรณ์ออมทรัพย์ไว้แล้ว จึงหาอาจนำ ป.วิ.พ. มาตรา 302 วรรคหนึ่ง (3) มาปรับใช้ในฐานเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคสอง โดยให้ถือว่า จำนวนเงินสองหมื่นบาทเป็นเงินเดือนค่าจ้างที่ต้องคงเหลือภายหลังการหักชำระหนี้ หรือให้ศาลเป็นผู้กำหนดจำนวนเงินคงเหลือได้ไม่
                ส่วนระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วย การหักเงินเดือนเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการเพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้แก่สวัสดิการภายในส่วนราชการและสหกรณ์ พ.ศ. 2551 ข้อ 7 เป็นระเบียบที่ออกโดยเฉพาะเพื่อใช้ปฏิบัติภายในหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ได้ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจเช่นจำเลย นอกจากนี้ พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ. 2542 มาตรา 42/1 ไม่ได้กำหนดจำนวนเงินเดือนค่าจ้างหรือเงินอื่นใดคงเหลือภายหลังหักชำระหนี้ไว้ การออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าวจึงแสดงให้เห็นว่า ในกรณีของรัฐวิสาหกิจก็ต้องออกระเบียบเป็นพิเศษโดยเฉพาะเช่นกัน หรือต้องแก้ไขประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ข้อ 31 เสียก่อน 
                การที่จำเลยหักเงินเดือนค่าจ้างของโจทก์ ชำระหนี้ในส่วนของความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันแทนผู้กู้ที่ผิดนัดให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์การสื่อสารแห่งประเทศไทย จำกัด ซึ่งบางเดือนเงินเดือนค่าจ้างคงเหลือศูนย์บาท จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว